กิจกรรมในแต่ละวัน

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โด่ไม่รู้ล่ม

 
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/7/7d/Elephantopus_scaber_L..jpg/243px-Elephantopus_scaber_L..jpg
 
สรรพคุณ
           ใช้ทำยาแก้ไอ วัณโรค แก้ไข้เหน็บชา บำรุงหัวใจ บำรุงกำหนัด ห้ามเลือดกำเดา ขับน้ำเหลืองเสีย
ลำต้นและใบ เป็นยาบำรุงเลือด ทำให้อยากอาหาร เหมาะสำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ
รากและใบต้มเป็นยารักษาโรคบิด ท้องร่วง ช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก กินแก้กามโรค ส่วนราก หากนำมาตำผสมกับพริกไทยจะแก้อาการปวดฟันได้ หรือนำมาต้มทานหลังคลอด แก้อาเจียนได้

ฝาง

สมุนไพร-ฝาง

ฝาง สมุนไพร ดอกสมุนไพรฝางออกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกมีสีเหลืองกลางดอกเป็นสีแดง
ฝาง สมุนไพร ดอกสมุนไพรฝางออกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกมีสีเหลืองกลางดอกเป็นสีแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Caesalpinia sappan Linn.
ชื่อสามัญ : Sappan
ชื่อวงศ์ : CAESALPINIACEAE
ชื่อสมุนไพรอื่น ๆ : ฝางเสน (กลาง), ฝางส้ม (กาญจนบุรี), ง้าย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หนามโค้ง (แพร่),โซปั้ก (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ต้น : สมุนไพรฝางเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง ตามลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนาม ซึ่งโคนหนามนี้พองคล้ายกับฐานนม
ใบ : เป็นไม้ใบรวม ลักษณะการเรียงใบคล้ายกับใบหางนกยูงไทย มีสีเขียว
ดอก : ฝางออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกมีสีเหลืองกลางดอกเป็นสีแดง
ผล : เป็นฝักรูปสี่เหลี่ยม แข็ง สีน้ำตาลเข้ม และที่ผิวฝักจะมีลายจุด ๆ แต้มอยู่ ซึ่งรูปร่างนั้นจะคล้ายกับถั่วแปบ ฝักของฝางนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดแก่นสีเหลืองเรียกว่า “ฝางส้ม” และ แก่นสีแดงเข้มเรียกว่า “ฝางเสน” ตรงปลายฝักนี้จะยาวแหลมยื่นออกมาเล็กน้อย
การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดีในดินที่ร่วนซุยสามารถให้ร่มเงาแก่เราได้ แต่ก็เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาขนาดเล็ก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ฝาง สมุนไพร ฝักสมุนไพรฝางลักษณะรูปสี่เหลี่ยม แข็ง สีน้ำตาลเข้ม และที่ผิวฝักจะมีลายจุด ๆ แต้มอยู่ ซึ่งรูปร่างนั้นจะคล้ายกับถั่วแปบ
ฝาง สมุนไพร ฝักสมุนไพรฝางลักษณะรูปสี่เหลี่ยม แข็ง สีน้ำตาลเข้ม และที่ผิวฝักจะมีลายจุด ๆ แต้มอยู่ ซึ่งรูปร่างนั้นจะคล้ายกับถั่วแปบ
ส่วนที่ใช้ : แก่น (เลือกที่มีสีแดงเข้มที่สุด)
สารประกอบทางเคมี:
แก่นฝางพบสารกลุ่ม flavonoid ชนิด 7-hydroxy-3-(4’-hydroxybenzylidene)-chroman-4-one, 3,7-
dihydroxy-3-(4’-hydroxybenzyl)-chroman-4-one, 3,4,7-trihydroxy-3-(4’-hydroxybenzyl)-
chroman, 4,4’-dihydroxy-2’-methoxychalcone, 8-methoxybouducellin, quercetin, rhamnetin
และ ombuin (Namikoshi et al., 1987) สารกลุ่ม sterols ชนิด beta-sitosterol 69.9%, campesterol
11.2% และ stigmasterol 18.9% (Oh et al., 1998) brazilin, brazilein, protosappanin E และ
taraxerol
สรรพคุณของสมุนไพร :
เนื้อไม้และแก่นฝาง รสขื่นขนหวานฝาด  ใช้แก้ปวดท้องร่วง แก้ธาตุพิการ  แก้ร้อน  ยาบำรุงโลหิตสตรี  ขับประจำเดือน  แก้ปอดพิการ  ขับหนอง  แก้โลหิตออกทางทวารหนักและเบา  รักษาน้ำกัดเท้า  แก้คุดทะราด  แก้เสมหะ  แก้เลือดกำเดา
ฝาง สมุนไพร เนื้อไม้และแก่นฝาง รสขื่นขนหวานฝาด ใช้แก้ปวดท้องร่วง แก้ธาตุพิการ  แก้ร้อน ยาบำรุงโลหิตสตรี ขับประจำเดือน ฯลฯ
ฝาง สมุนไพร เนื้อไม้และแก่นฝาง รสขื่นขนหวานฝาด ใช้แก้ปวดท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้ร้อน ยาบำรุงโลหิตสตรี ขับประจำเดือน ฯลฯ
วิธีใช้เป็นยาขับประจำเดือน ใช้แก่น  5-15  กรัม  ต้มกันน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เติมเนื้อมะขามเปียกที่ติดรกอยู่ (แกะเมล็ดออกแล้ว)  ประมาณ  4-5  ฝัก  เคี่ยวให้เหลือ  1 แก้ว  รับประทานเช้า – เย็น
วิธีใช้เป็นยารักษาน้ำกัดเท้า ใช้แก่น  2  ชิ้น  ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ ทาบริเวณน้ำกัดเท้า (ในแก่นฝางมีตัวยา ฝาดสมาน)
วิธีใช้แก้ท้องร่วง ท้องเดิน ใช้แก่น  3-9  กรัม  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เคี้ยวให้เหลือ  1 ถ้วยแก้ว  รับประทานครั้ง ละครึ่งถ้วยแก้ว  หรือใช้ฝาง  1  ส่วนน้ำ  20  ส่วน  ต้มเคี่ยว  15  นาที  รับประทานครั้งละ  2-4  ช้อนโต๊ะ  หรือ   4-8  ช้อนแกง
การใช้ประโยชน์ทางด้านอื่นๆ ทำสีย้อม ฝางมี  2  ชนิด ชนิดหนึ่งแก่นสีแดงเข้มเรียกว่า ” ฝางเสน”  อีกชนิดหนึ่งแก่นสีเหลืองเรียกว่า “ฝางส้ม”  นำมาต้มสกัดสาร Haematexylin  ใช้ย้อมสี  Nuclei ของเซลล์  หรือต้มให้สีแดงที่ เรียกว่า sappanin  ซึ่งเป็นสารให้สีประเภท  Brazilin  ใช้ทำน้ำยาอุทัยผสมน้ำดื่ม  สีผสมอาหาร  ใช้แต่งสีขนม เช่น ขนมชั้น ขนมขี้หนู ข้าวเหนียวแก้ว ฯลฯ และชาวบ้านนิยมนำมาย้อมสีผ้าไหม ผ้าฝ้ายและผ้าขนสัตว์

ชะอม

ชะอม

ชื่ออื่น ๆ : ผักหละ, ผักละ, ผักล่า, ผักห้า (ภาคเหนือ), ชะอม (ไทยภาคกลาง), ผักข่า (ร้อยเอ็ด),โพะซุยโด่ะ
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acacia Insuavis, Lace
วงศ์ : MIMOSEAE

ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมอยู่โดยทั่วไป และจะมีกลิ่นเหม็นเขียว
ใบ : ใบเป็นสีเขียว มีก้านใบจะแยกออกเป็นใบอยู่ 2 ทาง จะมีลักษณะคล้ายใบส้มป่อย หรือใบกระถิน นอกจากนี้ใบอ่อน ๆ จะมีกลิ่นฉุนคล้ายกลิ่นของลูกสตอหรือกระถินแต่จะมีกลิ่นฉุนกว่ามาก ใช้ใบหรือยอดอ่อน ๆ ชุบไข่แล้วทอดกินเป็นอาหารกับน้ำพริก
การขยายพันธุ์ : โดยการตอน หรือปักชำ

ส่วนที่ใช้
: ราก ใช้เป็นยา
สรรพคุณ :
ราก ใช้ฝนกินเป็นยารักษาอาการท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ และรักษาอาการปวดเสียว ในท้องได้ดี
อื่น ๆ : ถ้าเราเก็บเอาใบชะอมไปผูกไว้ในกรงนกขุนทอง นกได้กลิ่นก็จะตาย แต่ถ้านกตัวนั้นเกิดในป่าชะอมจึงจะทนต่อกลิ่นนี้ได้ เพราะนกเคยชินต่อกลิ่นมาตั้งแต่กำเนิด
ถิ่นกำเนิด : พรรณไม้นี้เป็นพรรณไม้ที่ปลูกง่ายและมีการปลูกกันทั่วไปได้ทุกจังหวัด และในกรุงเทพฯ ก็มีปลูกกันไว้บ้างตามเรือกสวนเพื่อเก็บเอายอดอ่อนนำไปขายเป็นสินค้า

กระชายดำ

กระชายดำกับตำนานสรรพคุณ 
กระชายดำกับตำนานสรรพคุณกระชายดำ   เป็นพืชสมุนไพรที่มีการกล่าวถึงสรรพคุณกันอย่างมากมาย ทั้งสรรพคุณทางไสย-เวทย์ สรรพคุณทางสมุนไพร และสรรพคุณทางยาแผนปัจจุบัน  การกล่าวถึงสรรพคุณที่มากมายจนกลายเป็นตำนานสืบทอดต่อกันมานั้น  สามารถบันทึกและรวบรวมไว้ดังนี้


 
        ในสมัยโบราณมีการบันทึกถึงการใช้ว่านกระชายดำในทางคงกระพันชาตรี ต่อต้านศาสตราวุธ และแคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบได้เป็นอย่างดี  มีตำนานเล่าขานกันมาว่า  นักรบในสมัยโบราณมักพกกระชายดำติดตัวไปทุกครั้งเมื่อออกสนามรบและจะเคี้ยวอมไว้ในปากเวลาต่อสู้กับข้าศึก  แต่ต้องคำนึงถึงที่มาของว่านด้วย  เพราะการที่ว่านจะมีอิทธิฤทธิ์นั้น จะต้องมีขั้นตอนของการทำพิธีกรรมทางไสยเวทย์ โดยการบรมคาถากำกับ จากครูบาหรือพระครูที่ผ่านการเรียนรู้มาอย่างถูกต้อง 
       มีการกำหนดพิธีกรรมตั้งแต่การลงปลูกครั้งแรก และต้องมีฤกษ์ยามประกอบด้วย การดูแลรักษาจะต้องพิถีพิถันตามหลักการของพิธีกรรม และเวลาเก็บว่านต้องดูฤกษ์ยาม พร้อมกับทำพิธีกรรมบรมคาถากำกับด้วย  สำคัญผู้ที่จะรับว่านไปใช้จะต้องมีการตั้งครูก่อนที่จะรับของดี  และต้องมีวันเวลาบูชาครูตามฤกษ์ยามอีกด้วย  หลักการเช่นนี้มีบันทึกในตำราไสยเวทย์และคาถาอาคมฉบับโบราณ
       ในตำรายาโบราณบางฉบับมีการบันทึกถึงการนำกระชายดำไปใช้เป็นยาสมุนไพร ในหลายตำรับ  ดังเช่นคัมภีร์ยา  “นพเก้า” ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดของตำรายาสมุนไพร ซึ่งมีตัวยาทั้งหมด 9 ชนิดและกระชายดำก็เป็นหนึ่งในเก้าชนิดนั้นเช่นกัน  ตำรายาของขอมโบราณก็มีการบันทึกตำรับยากระชายดำผสมน้ำผึ้งเดือนห้าไว้ด้วย
         ส่วนตำราว่านมหามงคลนั้นก็มีบันทึกถึงกระชายดำเช่นกันว่า เป็นว่านมหามงคล มีเมตตามหานิยม  คงกระพันชาตรี  ถ้าปลูกไว้หน้าบ้าน หรือปลูกใส่กระถางนำไปตั้งไว้หน้าบ้านจะเป็นสิริมงคลมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในบ้าน ป้องกันภูตผีปีศาจ ซึ่งบรรดานักเลงว่านทั้งหลายนิยมสะสมกันมานาน และในสมัยก่อนถือว่าเป็นว่านที่หายากมีราคาแพง
         หมอพื้นบ้านมีการนำว่านกระชายดำมาใช้เป็นส่วนผสมของสูตรยาสมุนไพรมานานแล้ว  โดยเฉพาะยารักษาโรคต่าง ๆ และยาชูกำลังหรือยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศ แต่จะเก็บไว้เป็นความลับเฉพาะตัวบุคคลไม่เผยแพร่ให้รู้จัก เพราะเชื่อกันว่าตัวยานี้มีครูที่จะต้องเก็บรักษามีคาถาอาคมประกอบ และต้องมีสัจจะต่อครูบาอาจารย์คือไม่ให้เปิดเผยโดยทั่วไป ยกเว้นเสียแต่ว่ามีผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนจะได้รับการถ่ายทอดวิชาและสอนตำรับยาอย่างเป็นทางการนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรม   การสาบานตนเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ และต้องเสียค่าบูชาหรือที่เรียกว่าค่าครูด้วย  มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง  ด้วยวิธีการถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องสูตรยาสมุนไพรที่ยุ่งยากซับซ้อนนี้  จึงทำให้คนรุ่นหลังไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ทำให้ตำรายาดี ๆ หลายตำรับหายสาบสูญไปกับเจ้าของสูตรนั้นมามากต่อมากแล้ว   กระชายดำก็เช่นกันแม้จะมีการใช้ทำยามานานแต่ถูกปิดบังโดยเงื่อนไขทางพิธีกรรมที่สืบทอดกันมา จึงทำให้สมุนไพรชนิดนี้ในอดีตไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก  แต่ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ
  วิธีปลูกกระชายดำ
จะใช้ หัวพันธุ์, ต้นพันธุ์ หรือแบ่งเหง้าจากต้นที่เติบโตสมบูรณ์แล้ว นำมาปลูก สามารถปลูกในกระถางเพื่อเป็นไม้ประดับหรือปลูกรวมกับว่านชนิดอื่น ๆ ในลักษณะของรังว่านก็ได้ กระชายดำเป็นพืชที่ปลูกง่าย ขึ้นได้ดีในดินที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรีย์วัตถุสูง ควรเป็นดินร่วนปนทรายเช่น ดินขุยไผ่ ชอบที่ร่มแสงร่มรำไร การดูแลรักษาก็ง่าย แค่รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้แฉะ ดายหญ้าและคอยกำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักตามสมควร หรือหากดินที่ปลูกอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วอาจไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลยก็ได้ ส่วนแมลงรบกวนนั้นเท่าที่ทราบมาก็มีแต่หอยทากเท่านั้นที่จะมากินใบของกระชายดำ ปัญหาที่พบมากคือเมื่อมีน้ำท่วมขังหรือฝนตกชุกมาก เหง้าของกระชายดำจะเน่า แต่การยกร่องก่อนปลูกจะช่วยได้มาก หากพื้นที่ที่จะปลูกเป็นที่ลาดชัน (slope)อาจไม่ต้องยกร่องก็ได้

ผลไม้ไทย

ผลไม้

    พัดระน์


แตงโม
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
แตงโมมีสารที่ว่ากันว่า ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวที่แห้งผาก
หรือผิวที่ร้อนระอุในช่วงหน้าร้อนเป็นอย่างดี และแตงโมนั้นก็ยัง
ให้ความเย็นอยู่บนผิวของเราได้นานกว่าผลไม้ชนิดอื่น
โดยวิธีการดังนี้เตรียมผ้ากรองชนิดบางขนาดผ้าพันแผล 2 ผืน
เฉือนเนื้อแตงโมเป็นชิ้นบางๆ พอประมาณ วางลงระหว่างผ้า
ที่เตรียมไว้ โดยให้เนื้อแตงโมอยู่ระหว่างกลางผ้า 2 ชิ้น
หลังจากนั้น นำมาวางปิดลงบนใบหน้าให้ทั่ว เว้นส่วนของรูจมูก
ให้ผ้าและชิ้นแตงโมติดผิวหน้าและทุกส่วน ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
หลังจากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

กล้วย
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ
ในเรื่องของสาร ต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักดี
คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น
หรือเกิน 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย
จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกาย
ก็เริ่มมาเยือน ช่วงนี้เอง มี 2 สิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในร่างกายเรา
ซึ่งก็คือเซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ก็จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น
และส่วนที่สองคือ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
ของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถใน
การจำกัดอนุมูลอิสระ ก็ลดลง ในกล้วยไข่ 1 ขีด
มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม


มะละกอ
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
เป็นไม้ผลที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน ผลดิบนำมาปรุงอาหาร
และผลสุกรับประทานสด น้ำมีรสหวานหอม มีวิตามินเอ และ
แคลเซี่ยมสูง มะละกอผลดิบมียาง มีสารเพคติน แคลเซี่ยม
วิตามินซี และอื่นๆ ผลสุก มีวิตามินเอสูง วิตามินซี สารเพคติน
เหล็ก แคลเซี่ยม และมีสาร Cerotenoid เป็นสาร
ที่ทำให้เนื้อมะละกอสุกมีสีส้ม ต้นมะละกอ ใช้เป็นยาขับประจำ
เดือน ลดไข้ ดอก ขับปัสสาวะ ราก แก้กลากเกลื้อน ยาง ช่วย
กัดแผล รักษาตาปลา หูด ฆ่าพยาธิ


ฝรั่ง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ทราบหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม วิตามิน
ซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณ
เต่งตึงไม่แก่ก่อนวัย และวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสาร
ต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสติเสื่อมสภาพ ผิวหนัง
เหี่ยวแห้ง เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างและบำรุง
เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์นับล้านตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื่อ
เยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนี มันคือ คอลลาเจนตัวเดียวกับคอลลาเจน ที่ทำ
ให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึงนั่นเอง


ส้ม
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดย
ไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่ม
ท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว
นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค็กก้อนโต หรือ
โดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์
มากกว่าในราคาที่ถูกกว่า ผิวส้มมีน้ำมันหอมระเหย วิตามินซี
และสารอื่นๆ ใช้เป็นยา ผิวผลใช้สกัดทำทิงเจอร์สำหรับแต่งกลิ่นยา
และมีฤทธิ์ขับลม เปลือกส้ม ปรุงเป็นยาหอมแก้ลมวิงเวียน หน้ามืด
ตาลาย แก้ลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ น้ำจากผล ให้วิตามินซี รับประทาน
ป้องกัน และรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน บำรุงร่างกาย แก้ไอ
และขับเสมหะ



เงาะ
เปลือกผลเงาะนำมาต้มกินน้ำ เป็นยาแก้อักเสบ
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการอักเสบในช่องปาก
และโรคบิดท้องร่วง มีข้อควรระวังอย่าหนึ่ง
คือเม็ดในของเงาะ มีพิษ แม้ว่าจะเอาไปคั่วจนสุกแล้ว
แต่ถ้ากินมากเกินไปจะมีอาการปวดท้องเวียนศีรษะมีไข้
คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นเม็ดเราไม่ควรจะรับประทาน



มะม่วง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผลรสเปรี้ยว ชุ่มเย็น ใช้บำรุงกระเพาะอาหาร แก้คลื่นไส้ อาเจียน
วิงเวียน กระหายน้ำและขับปัสสาวะ ยางจากลูกและต้นผสมน้ำส้ม
หรือน้ำมันแก้คัน ดอกมะม่วง รับประทานแก้ท้องร่วง และเบาหวาน
แก้บิดเรื้องรัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และหนองใน เมล็ด รสเปรี้ยว
ชุ่ม สุขุม แก้ไส้เลื่อน ท้องอืดแน่น และขับพยาธิ ใบอ่อนและเปลือก
ชงน้ำร้อนกินแก้ปวด อมบ้วนปากแก้เจ็บคอ ปวดฟัน เจ็บเหงือก
แต่ใบแก่จัดมีสารพิษ


 

ขิง

"ขิง"   เป็นยาอายุวัฒน



ขิง  เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวลมีกลิ่นหอมเฉพาะ แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นสองแถว ดอก สีขาว ออกรวมกันเป็นช่อรูปเห็ดหรือกระบองโบราณ แทงขึ้นมาจากเหง้า ชูก้านสูงขึ้นมา ทุกๆ ดอกที่กาบสีเขียวปนแดงรูปโค้งๆ ห่อรองรับ
ประโยชน์ของขิงนั้นมีมากมายกว่านั้นแต่จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
- เหง้า : รสหวานเผ็ดร้อน ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด เจริญอากาศธาตุ สารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ เหง้าสด ตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ
- ต้น : รสเผ็ดร้อน ขับลมให้ผายเรอ แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง

ใบกระเพรา

กระเพรากลิ่นหอม   ลดน้ำตาลในเลือดได้




ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้มเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นอาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย



นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็น ยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย
สำหรับใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

หัวหอมใหญ่

 
"หัวหอมใหญ่    ยาครอบจักวารบ้าน"

อีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรที่หลายคนมองข้ามด้วยความไม่รู้คุณค่าอันมหาศาล แถมยังเขี่ยทิ้งจากจานเสมอๆ ก็คือ หอมหัวใหญ่หรือที่เรียกกันติดปากว่า หอมใหญ่ซึ่งมีการปลูกมาตั้งแต่ยุคโบราณในอียิปต์ กรีก โรมัน และจีน ปัจจุบันหอมใหญ่จัดเป็นผักสำคัญลำดับที่ 6 ของโลก
หอมใหญ่ไม่ใช่แค่ผักธรรมดาที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ และไม่ได้ใหญ่แต่ชื่อและขนาด แต่สรรพคุณยังยิ่งใหญ่ด้วย เพราะช่วยป้องกันและรักษาโรคสำคัญๆ ได้หลายโรค ทั้งแพทย์และนักวิชาการได้ทำการวิเคราะห์หาสารสำคัญในหัวหอม พบว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารประกอบที่จำเป็นต่อร่างกายกว่า 300 ชนิด อาทิ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซีลีเนียม เบตาแคโรทีน กรดโฟลิก เควอซิทินฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ เพคติน กลูโคคินิน ฯลฯ
โดยแคลเซียมจะสังเคราะห์เอนไซม์ที่ ที เซลล์ (T-cells) มาใช้ในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมและช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำลายและย่อยสลายไวรัส ธาตุแมกนีเซียมจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งและกำจัดไวรัส ธาตุกำมะถันช่วยให้เอนไซม์ตับทำงานขับสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ส่วนสารเควอซิทินเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ให้ฤทธิ์ในการป้องกันการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ป้องกันอาการแพ้ ขับสารพิษ ป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและปกป้องหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน และลดการเป็นพิษต่อเซลล์ไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL)

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

น้ำมะเขือเทสป้องกันโรคกระดูกพรุน

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยสรรพคุณสุดมหัศจรรย์ของน้ำมะเขือเทศ ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
โดยในมะเขือเทศนั้น มีไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่าย
จากนั้น ทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพีน 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้
จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

กีวีมีประโยชน์อย่างไร



กีวี่

กีวีไม้ผลประเภทเลื้อยเถาในเขตหนาวที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในปี พ.ศ.
2407 เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว มิสชันนารีชาวนิวซีแลนด์คณะหนึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และได้นำ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ไชนิส กูสเบอร์รี" (Chinese gooseberries) ไปปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์ ด้วยสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช ผลไม้ชนิดนี้จึงมีรสชาติดีขึ้น พ.ศ.2502 พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อ "กีวี่ฟรุต" (Kiwifruit) เป็นชื่อใหม่ของผลไม้ชนิดนี้ ตามชื่อนกกีวีที่เป็นนกสัญลักษณ์ของประเทศ

ปัจจุบัน นิวซีแลนด์พัฒนาคุณภาพกีวีจนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สามารถส่งออกกีวีไปยังผู้บริโภคใน 70 ประเทศ เฉพาะยุโรปทวีปเดียวก็ทำสถิติขายได้ปีละ 1.5 ล้านล้านผล รวมทั้งส่งกีวีมาจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย

สำหรับประเทศไทยโครงการหลวงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำพันธุ์กีวีฟรุตจากประเทศนิวซีแลนด์เข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ.2519 ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และพบว่ากีวีฟรุตบางพันธุ์สามารถออกดอกและติดผลได้ดี มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงได้ กีวีฟรุตจึงนับว่าเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพดีชนิดหนึ่งในอนาคต

Actinidia deliciosa เป็นกีวีฟรุตที่ปลูกเป็นการค้ามากที่สุดของโลก ลักษณะโดยทั่วไปผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขน เนื้อผลสีเขียว มีปริมาณวิตามินซี 100-200 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hayward สำหรับพันธุ์ที่ปลูกได้ค่อนข้างดีในประเทศไทย คือ พันธุ์ Bruno


A. chinensis เป็นกีวีฟรุตชนิดที่เริ่มมีความนิยมที่ปลูกเป็นการค้าใหม่ๆ ขึ้นมามาก พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hort16A ของนิวซีแลนด์ กีวีฟรุตชนิดนี้ต้องการความหนาวเย็นมากสั้นกว่า A. deliciosa จึงเป็นชนิดที่มีศัยกภาพในการปลูกเป็นการค้าในประเทศไทย เช่น พันธุ์ Yellow joy จากประเทศญี่ปุ่น และพันธุ์ลูกผสมต่างๆ จากโครงการศึกษาและคัดเลือกพันธุ์กีวีฟรุตของโครงการหลวง ส่วนใหญ่กีวีฟรุตเนื้อผลมีสีเหลืองผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขนค่อนข้างสั้น มีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 100-200 มิลิลกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม

A. arguta มีชื่อเรียกว่า Baby Kiwi, Wee-kis หรือ Grape Kiwi เป็นกีวีฟรุตที่มีการปลูกเป็นการค้าแต่ยังไม่มากนัก ลักษณะโดยทั่วไปผลขนาดเล็ก น้ำหนักผลประมาณ 6-14 กรัม ผิวผลเรียบไม่มีขน รับประทานได้ทั้งเปลือก รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมมีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Ananasnaya สำหรับประเทศไทยมีหลายพันธุ์ที่นำมาจากประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าศักยภาพดี

กีวีได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าเป็นผลไม้ที่มี วิตามินซี และวิตามินอีในสัดส่วนสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (ตัวต้านออกซิแดนท์) ที่ทรงประสิทธิภาพมากมีประโยชน์สำหรับคนทุกเพศทุกวัย


กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 167% ของ RDA (Recommended Daily Allowance) ให้วิตามินซีมากกว่าการบริโภคแอปเปิล ส้ม กล้วย แครนเบอร์รี องุ่น ลูกแพร์ ทับทิม ในปริมาณที่เท่ากัน



วิตามินอีในกีวีเป็นวิตามินอีที่อยู่ในแหล่งอาหารที่ปราศจากไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ในตัว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย

โพแทสเซียม (331 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหัวใจวาย โพแทสเซียมช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงได้ ผู้มีอายุต้องการโพแทสเซียมช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง แต่กล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงานสูงกว่ากีวีถึง 2 เท่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำคงเผาผลาญพลังงานไปได้ แต่สำหรับคนที่ขาดการออกกำลังกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้รับมีผลต่อน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้น

ไฟเบอร์ (3.4 กรัม/กีวี 100 กรัม) ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างสุขภาพดีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 38 ราย กลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารตามปกติ อีกกลุ่มรับประทานอาหารตามปกติเช่นกันและกินกีวีด้วยอัตรากีวี 1 ผล/น้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่กินกีวีด้วยนั้นขับถ่ายสะดวกและสม่ำเสมอกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารตามปกติอย่างเดียว ผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่ให้เส้นใยอาหาร (Fibre หน่วยกรัม/100 กรัม) เช่น ลูกแพร์ 2.2, แอปเปิล 1.8, ส้ม 1.7, กีวีสีทอง 1.4, กล้วยหอม 1.1, กรัม, องุ่น 0.7


โฟลเลต คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ (หมายถึงโครงสร้างร่างกายทั้งหมด) เช่น การสร้างอวัยวะทารกในครรภ์ การสร้างเม็ดเลือด การสร้างสารพันธุกรรมในร่างกาย คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดโฟลเลตมีความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาท กีวี 1 ผล ขนาด 76 กรัม มีโฟลเลต 19 ไมโครกรัม หรือ 5% ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน (RDA)


แมกนีเซียม (30 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้สร้างเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของแมกนีเซียม กระดูกที่แข็งแรงช่วยให้ร่างกายทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้คล่องตัวขึ้น และมีความสุขกับชีวิตได้เต็มที่ แมกนีเซียมที่มีในผลไม้ชนิดอื่น (หน่วยมิลลิกรัม/100 กรัม) เช่น กล้วยหอม 34, กีวีสีทอง 14.5, ส้ม 10, องุ่นและลูกแพร์ 7, ส้ม 5


ซิงก์ แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญสำหรับเด็กหนุ่มและผู้ชายทุกคน เพราะเป็นแร่ธาตุที่ใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย (เทสโตสเตอโรน)

จากผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน จะช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกาย

นักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบประโยชน์อีกว่า เมื่อกินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหาร


จากผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน จะช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกาย

นักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบประโยชน์อีกว่า เมื่อกินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันมาก - แร่ธาตุในกีวีจะช่วยลดสภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียงพอได้ด้วย

ผลไม้ที่มีประโยชน์

 

 

สุดยอด!!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

 

 
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
ลูกพรุน
ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด
ถั่วผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบีนอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

 

 ประโยชน์ของแก้วมังกร

 



ผลไม้แก้วมังกรอีกหนึ่งผลไม้ที่มีคุณค่าวันนี้เราจึงขอนำความรู้เรื่องประโยชน์ของแก้วมังกรและสรรพคุณของแก้วมังกรมาบอกเล่าให้รู้คุณค่าของ ประโยชน์ของแก้วมังกร และ สรรพคุณของแก้วมังกร ที่คุณยังไม่รู้ให้ได้ตอกย้ำความรู้ยิ่งเข้าไปอีกค่ะ อนึ่งคนไทยนั้นยังไม่ค่อยนิยมผลไม้อย่างแก้วมังกรเท่ากับคนไทยเชื้อสายจีนค่ะ เพราะอาจเนื่องด้วยผลไม้แก้วมังกรนั้นเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างราคาสูงอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่เมื่อเปรียบเทียวกับ ประโยชน์ของแก้วมังกร และ สรรพคุณของแก้วมังกร แล้วก็นับว่าคุ้มค่าอยู่มิใช่น้อยค่ะ ยิ่งเป็นคุณผู้หญิงที่กำลังคิดจะลดน้ำหนักด้วยแล้วใช้ผลไม้อย่าแก้วมังกรดีนักแลค่ะ นั้นเรามาดูเรื่อง ประโยชน์ของแก้วมังกรและสรรพคุณของแก้วมังกร กันเลยดีกว่าค่ะ

 
แอปเปิ้ล
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว เพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง
75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที
บรอกโลนี
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
กล้วยไข่
กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ
ฝรั่งฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำ
ส้ม
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วย
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน